ว่าด้วยแสง และซากปรักหักพัง
พอใจ อัครธนกุล, 2025
ผลงานของ มาร์ติน คอนสตาเบิล ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดหรืองานดิจิทัล นำพาเราไปสู่จักรวาลอีกแห่งหนึ่ง รูปทรงของสิ่งต่างๆ ที่เรายังพอจำได้ ทำให้รู้สึกคุ้นเคย แต่ก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่า ภาพเหล่านั้นแสดงถึงโลกของเราหลังหายนะ หรือเป็นภาพของโลกอีกใบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนนั้นคือ ภาพแต่ละภาพของคอนสตาเบิลนั้นตั้งอยู่ในสถานการณ์ ที่ซึ่งการรับรู้เรื่องเวลาตามปกติ ถูกทำให้ไร้ความหมาย ภาพที่ไม่ได้มาจากอดีต และไม่ยึดโยงกับมาตรฐานกรอบเวลาที่ตายตัวแบบ 24/7 ลองจินตนาการว่า หนึ่งนาทีที่อยู่ในภาพนั้นไม่ใช่ 60 วินาทีอย่างที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป เวลา ณ ที่นี้ดำเนินไปในแบบอื่น มันอาจจะกำลังเผาไหม้อย่างรวดเร็ว หรือมันอาจนิ่งอยู่กับที่ มิติเวลาที่บิดเบี้ยวเหล่านี้บอกเป็นนัยถึง วิกฤตการมีอยู่ของชีวิต (existential crisis)
ผลงานของคอนสตาเบิลมักชวนให้นึกถึงจิตวิญญาณของการสำรวจ ในวิธีที่คล้ายกันกับจิตรกรจากสกุลศิลปะลุ่มแม่น้ำฮัดสัน (Hudson River School) หรือศิลปะยุคโรแมนติก สัญลักษณ์ต่างๆ ในผลงานของเขา ตั้งแต่ แสง ซากปรักหักพัง ไปจนถึงโครงกระดูก ล้วนมีความหมาย แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องที่จะต้องถูกตีความหรือทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ ในทางกลับกัน สัญลักษณ์เหล่านั้นกลับเชื้อเชิญให้ครุ่นคิดพิจารณาในระดับอารมณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและคำนึงถึงความหมายของการดำรงอยู่: ของตัวศิลปิน ของตัวเรา และของมวลมนุษยชาติ นิทรรศการที่รวบรวมผลงานของคอนสตาเบิลตลอดทศวรรษที่ผ่านมานี้ จึงอาจมองได้ว่าเป็นการสำรวจความกลัวที่จะลืม การระลึกถึง หรือตั้งคำถามว่าเราจารึกประวัติศาสตร์อย่างไร
ในกรณีที่เกิดหายนะบนดวงจันทร์
“ชายสองคนนี้กำลังสละชีวิตของพวกเขาเพื่อเป้าหมายอันสูงส่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ: การแสวงหาความจริงและความเข้าใจ […] การแสวงหาของมนุษย์จะไม่มีวันถูกล้มเลิก แต่ชายสองคนนี้ คือกลุ่มแรก และพวกเขาจะยังคงเป็นผู้บุกเบิกที่สำคัญสูงสุดในใจของพวกเรา”
บันทึกข้อความจากปี 1969 ถูกเตรียมไว้ให้ประธานาธิบดีนิกสัน เป็นสุนทรพจน์เผื่อที่จะต้องกล่าว ในกรณีที่ภารกิจของ อะพอลโล 11 ล้มเหลว แม้ว่าสุนทรพจน์นี้จะไม่เคยถูกนำมาใช้ และปัจจุบันเป็นแค่เอกสารทางประวัติศาสตร์ แต่ธีมของการค้นหาความจริงและความเข้าใจนั้นสอดคล้องกับผลงานของคอนสตาเบิลอยู่ ในผลงานชื่อ A Fragment of Interrogation (2025) ศิลปินได้ดัดแปลงรูปแบบของบันทึกข้อความดังกล่าว เพื่อใช้บันทึกบทสนทนาระหว่างชายคนหนึ่งกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถระบุได้ ซึ่งกำลังครุ่นคิดถึงอายุขัยของชีวิต เนื้อหาที่เสียดสีของผลงานชิ้นนี้บอกเล่าเรื่องราวในตัวเอง ขณะเดียวกันก็แฝงนัยถึงความน่าสะพรึงในแบบที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ และความกลัวต่อความเล็กน้อยไร้ความสำคัญของมนุษยชาติต่อจักรวาล (cosmic horror)
ด้วยความที่ปราศจากการระบุที่เฉพาะเจาะจง บทสนทนานี้จึงไร้ซึ่งผู้ประพันธ์ เช่นเดียวกับภาพวาด A Man Who Asked Why (2025) และ In League With His Demons (2024) ภาพทั้งสองนี้ละเว้นการปรากฏตัวของ ‘ใครคนนั้น’ ทว่าสิ่งที่จับต้องได้คือภาพที่แสดงว่าเครื่องมือเหล่านี้เป็นของใครสักคนที่มีฐานะเป็นผู้สร้าง
แนวคิดนี้ยังขยายไปถึงภาพวาดรองเท้าบูทเก่าๆ ที่ชื่อว่า Half Way There is Half Way Gone (2025) รองเท้าอาจเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางและการล่วงเลยไปของเวลา และภาพนี้ทำให้นึกถึงข้อถกเถียงทางศิลปะอันโด่งดังเกี่ยวกับผลงาน A Pair of Shoes (1886) ของฟินเซนต์ ฟัน โคค และ Floyd Burroughs's Boots (1936) ของวอล์คเกอร์ อีแวนส์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในงานเขียน The Origin of the Work of Art ของไฮเดกเกอร์ และต่อมาถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยเดริดา และนักคิดคนอื่นๆ อีกมากมาย [2] ในขณะที่ตัวตนที่ ‘แท้จริง’ ของเจ้าของเราเท้าบูท บริบทที่รอบล้อมผลงาน และ ‘เหตุผล’ ก็ยังไม่ชัดแจ้ง
สกรีนเซฟเวอร์ สตาร์ฟิลด์ ซับเตอร์ฟิวจ์ และเกมดีเซนท์
สกรีนเซฟเวอร์ หรือภาพพักหน้าจอ ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1983 เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันอาการจอไหม้บนจอภาพรุ่นเก่าเวลาไม่ใช้งาน ในปี 1995 วินโดวส์ ได้เปิดตัวสกรีนเซฟเวอร์อันเป็นเอกลักษณ์ชื่อว่า Screensaver Subterfuge แสดงมุมมองบุคคลหนึ่งเดินวนเวียนอยู่ภายในเขาวงกตสามมิติ ที่สร้างจากกำแพงอิฐแดงอย่างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อผู้ใช้เดินไปเจอกับหินสีเทา ภาพจะพลิกกลับหัว ทำให้เกิดความรู้สึกหลงทิศ ราวกับอยู่ในห้วงอันไร้ที่สิ้นสุด
เช่นเดียวกัน ผลงานภาพพิมพ์ดิจิทัลและวิดีโอของคอนสตาเบิลนั้นทำให้นึกถึงภาษาภาพในแบบของสกรีนเซฟเวอร์ ผลงานชุด The God of Details นำเสนอฉากอันเงียบสงบของพื้นที่หลากหลาย ตั้งแต่ ห้องทำงานช่างอันเลอะเทอะ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ที่ดูปลอดเชื้อ ซึ่งล้วนปราศจากผู้คนโดยสิ้นเชิง ภาพเหล่านี้อาจถูกจำลองขึ้นจากความทรงจำของศิลปิน หรืออาจไม่มีอยู่เลยก็ได้ แต่ทว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็น จานที่ยังไม่ได้เก็บ ถังขยะที่รองด้วยถุงพลาสติก พรมที่ยับย่น บอกใบ้ให้เห็นถึงร่องรอยแผ่วเบาของสิ่งมีชีวิต แสงไฟที่ถูกเรนเดอร์ขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบนั้นยังคงเปิดอยู่ และส่องสว่างไปยังวัตถุบางชิ้น ภาพเหล่านี้เป็นภาพในยามค่ำคืนอันเงียบสงัดหรือไม่? เราจะถือว่ามันเป็น ‘พื้นที่ระหว่างกลาง’ (in-between spaces) ได้หรือไม่—เช่นเดียวกับพื้นที่ของช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ลิฟต์โดยสาร สกรีนเซฟเวอร์ หรือสนามบิน? พื้นที่ที่กำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่าง…
หรือบางที ภาพเหล่านี้แสดงสถานการณ์หลังจากเหตุการณ์สำคัญได้เกิดขึ้น? เช่นเดียวกับซากมอเตอร์ไซค์ในภาพวาด The Mix (2025) ซึ่งบอกเล่าถึงการเดินทางที่ถูกทำให้ชะงัก เป็นไปได้ไหมว่ามีใครบางคนหนีไปจากฉากเหล่านี้ ภายหลังเหตุการณ์หรือหายนะบางอย่าง? หรือนี่คือช่วงเวลาของวันสิ้นโลก? หรือเป็นเพียงแค่เวลาที่หยุดนิ่งกันแน่? ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ความนิ่งสงบในภาพเหล่านี้มอบความรู้สึกสันโดษ แต่ความคมชัดและความละเอียดสูงในแบบภาพคอมพิวเตอร์ กลับบอกเป็นนัยถึงความรู้สึกของการควบคุมและความวิตกกังวลที่มีอยู่ในขณะเดียวกัน
วิดีโอสองชิ้นที่เล่นวนซ้ำ คือ Try Again. Fail Again. Fail Better. (2024) และ ...Not For the Fire in Me Now (2022) นำเสนอภาพมุมมองภายในจากห้องนักบินของยานอวกาศ มุมมองภาพแบบบุคคลที่หนึ่ง ที่สังเกตถึงแผงควบคุมและปุ่มต่างๆ จัดวางผู้ชมให้อยู่ในตำแหน่งของนักบิน เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ภาพทิวทัศน์นอกหน้าต่างก็เผยให้เห็นฉากที่ไม่ได้อยู่บนโลกเรา แต่เป็นห้วงอวกาศภายนอก
ด้วยความรู้สึกชวนคลื่นไส้และสับสน วิดีโอเหล่านี้ซึ่งมีความยาวไม่เกินห้านาที ได้ถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งการทำลายล้าง และเมื่อเราพบว่าเสียงประกอบที่นำมาใช้ นั้นดัดแปลงมาจากเสียงจริงจากบันทึกกล่องดำของเที่ยวบินประวัติศาสตร์ วิดีโอเหล่านี้ก็ยิ่งสร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อประสาทสัมผัสขึ้นไปอีก ความรู้สึกสับสนนี้รุนแรงเกินกว่าความรู้สึกของการถูกดูดเข้าไปในความว่างเปล่าของสกรีนเซฟเวอร์ Starfield หรือการเล่นเกมจำลองการบินอย่างเกม Descent (1995) เพราะมันชวนให้เวียนศีรษะและน่าวิตกอย่างท่วมท้น
ประวัติศาสตร์อนาคต
“เรากำลังเขียนอนาคตของมนุษยชาติอย่างไรกัน? เราไม่ได้กำลังเขียนอะไรเลย มันต่างหากที่กำลังเขียนเรา เราเป็นดั่งใบไม้ที่ถูกลมพัดพา เราคิดว่าเราคือสายลม แต่เราเป็นแค่ใบไม้ [...] เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่รู้สึกไม่มั่นคงเสียจนต้องเฝ้ามองตัวเองอยู่ตลอดเวลา และหาข้อยืนยันว่าอะไรที่ทำให้เราแตกต่างไม่ใช่หรือ พวกเราสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ หลักแหลม และช่างสงสัย ผู้บุกเบิกอวกาศและเปลี่ยนแปลงอนาคต ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้แต่สัตว์อื่นทำไม่ได้ ก็แค่การก่อไฟขึ้นมาจากความว่างเปล่า”
มาร์ติน คอนสตาเบิล สนใจความพังพินาศและซากปรักหักพัง ความหลงใหลในการทำลายล้างของเขาส่วนหนึ่งมีจุดเริ่มต้นจากบาดแผลทางใจส่วนตัว และมีมุมมองที่ว่ามันเป็นกระบวนการที่ช่วยเปิดเผยให้เห็นถึงโครงสร้างและธาตุแท้ของสิ่งต่างๆ [4]
ตัวอย่างเช่น ที่มาของชื่อผลงาน Rebes Minor (2021) นั้นหยิบยืมวิธีที่นักดาราศาสตร์ใช้ตั้งชื่อกลุ่มดาว ซากปรักหักพังในภาพนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากปราสาทยุคกลางในเรื่อง Game of Thrones บอกเล่าเรื่องราวเชิงเสียดสีเกี่ยวกับการแข่งขันในวงการวิชาการที่ดุเดือดในอีกโลกหนึ่ง ที่ซึ่งเหล่าคณาจารย์ถูกฆ่าและโรงเรียนถูกเผาทำลาย [5] แต่ท่ามกลางความมืดมิดนี้ ยังมีลำแสงแห่งความหวังเล็กๆ ซึ่งเป็นแสงไฟที่ริบหรี่ดวงหนึ่ง ถูกจัดวางไว้ที่ใจกลางภาพ
ภาพวาดหลายชิ้นที่ถูกคัดสรรมานี้นำเสนอฉากพิธีกรรมของการจ้องมองแสงไฟ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของแสง ภาพ Lustrum (2024) นำเสนอร่างร่างหนึ่งที่กำลังจ้องมองเข้าไปในกองไฟ อันเป็นเทคโนโลยีแรกสุดของมวลมนุษยชาติ การเรียนรู้ที่ทำให้มนุษย์ควบคุมไฟได้สำเร็จ ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับการส่งมนุษย์ไปสู่อวกาศ การเพ่งมองไปที่แหล่งกำเนิดแสง ไม่ว่าจะเป็นแท่งเทียนหรือดวงจันทร์ [6] ล้วนเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์เช่นกัน กลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อจ้องมองบางสิ่งร่วมกัน ดังที่ปรากฏในภาพ Raze (2024) และ The Invention of Grief (2024) (ที่แสดงภาพกลุ่มวานรหนึ่งนั่งล้อมกองไฟ) ยิ่งเพิ่มความน่าฉงน ในบริบทนี้ ภาพวาดเหล่านี้จึงกลายเป็นฉากของพิธีกรรมแบบร่วมสมัย
ท้ายที่สุด What He Left Behind (2025) คือ ผลงานภาพมุมมองบุคคลที่หนึ่งของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ภาพนี้ทำให้นึกถึงภาพถ่ายประวัติศาสตร์ Earthrise (1968) ที่ถ่ายโดยนักบินอวกาศ บิล แอนเดอร์ส จากภารกิจ อะพอลโล 8 แอนเดอร์สได้กล่าวประโยคที่โด่งดังไว้ว่า “เราเดินทางไปดวงจันทร์เพื่อสำรวจดวงจันทร์ แต่สิ่งที่เราค้นพบกลับเป็นโลก” เช่นเดียวกันภาพวาดนี้เน้นย้ำถึงช่วงเวลาอันลึกซึ้งนี้ แต่กลับตอกย้ำความตระหนักรู้ว่าการดำรงอยู่ของเราเล็กน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับจักรวาลอันไพศาล
โคด้า
ผลงานคัดสรรในนิทรรศการ What Cannot Be Forgotten, Must Be Celebrated มุ่งลึกลงไปในสภาวะอารมณ์อันมืดมิดและภูมิทัศน์อันหม่นหมอง เพื่อขุดค้นการครุ่นคิดพิจารณาอย่างลึกซึ้งต่อการดำรงอยู่ และในขณะเดียวกันก็เชื้อเชิญให้เราได้เผชิญหน้ากับคำถามเดียวกันนั้นด้วยตัวของเราเอง
การครุ่นคิดพิจารณานี้เดินทางมาถึงบทสรุปในผลงานชิ้นสุดท้าย คือ Qua Auq (2015) ซึ่งคอนสตาเบิลได้ผลิตภาพกะโหลกศีรษะของ แลม ควา (1801–1860) ขึ้นมาใหม่ด้วยเทคนิคดิจิทัล แลม ควา เป็นจิตรกรชาวจีนผู้เป็นที่รู้จักจากการเป็นคนแรกๆ ที่นำสไตล์ตะวันตกมาใช้ในการวาดภาพประกอบทางการแพทย์ ด้วยวิธีที่คอนสตาเบิลสมมุติถึงการนำกะโหลกศีรษะไปจัดวางในตู้จัดแสดง ที่อ้างอิงถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสิงคโปร์นั้น คอนสตาเบิลได้พิเคราะห์ถึงการมีตัวตนของศิลปิน และความปรารถนาของมนุษย์ที่จะเป็นที่จดจำ และความต้องการที่จะทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง
![]()
Earthrise ถ่ายโดย วิลเลียม แอนเดอร์ส เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 1968. ภาพจาก: NASA [7].
1. William Safire, "In Event of Moon Disaster", บันทึกช่วยจำถึง เอช. อาร์. ฮาลเดมัน, 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1969, Richard Nixon Presidential Library and Museum, National Archives and Records Administration. ที่มา: https://www.archives.gov/files/presidential-libraries/events/centennials/nixon/images/exhibit/rn100-6-1-2.pdf, เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2568.
2. มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ ได้ใช้ภาพ Pair of Shoes ของ วินเซนต์ ฟัน โคค เพื่ออธิบายประเด็นของเขาที่ว่าศิลปะเผยให้เห็น “สัจจะแห่งการดำรงอยู่” (truth of being) เพราะรองเท้าคู่นั้นเป็นของหญิงชาวนา ในเชิงปรากฏการณ์วิทยาแล้ว ภาพนั้นเพียงลำพังก็สามารถเปิดเผยโลกอีกใบหนึ่งซึ่งเป็นของชาวนาคนนั้นได้ ดังนั้น รองเท้าจึงไม่ใช่แค่เพียงวัตถุ แต่เป็น “ความเป็นเครื่องมือของเครื่องมือ” (equipmental being of equipment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริบทอื่น (พ.ศ. 2479) ในขณะที่ เมเยอร์ ชาปิโร ได้วิจารณ์ไฮเดกเกอร์ว่า รองเท้าคู่นั้นไม่ใช่ของชาวนา แต่เป็นของฟัน โคค เอง ดังนั้นจึงควรตีความภาพในเชิงอัตชีวประวัติของศิลปิน (พ.ศ. 2511) ส่วนเดริดาก็ได้วิจารณ์ว่า พวกเขาทั้งสองมองรองเท้าผ่านเลนส์ที่ติดกับดักของการเป็นตัวแทน (representations) และยัดเยียดความหมายให้กับรองเท้าว่ามันต้องเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แทนที่จะมองตัวผลงานศิลปะตามที่มันเป็น ในการถกเถียงนี้ ภาพถ่ายรองเท้าบูทจริงๆ ของอีแวนส์ จากยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ก็มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับภาพของ ฟาน โคค อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากรองเท้าของอีแวนส์นั้นมีเจ้าของอยู่จริง ในขณะที่ของ ฟัน โคค เป็นเพียงภาพแทนในเชิงจิตรกรรม
ที่มา: Brian Goldberg, “Two Boots and Four Portraits,” RISD Museum, 28 มกราคม 2019, https://risdmuseum.org/art-design/projects-publications/articles/two-boots-and-four-portraits. เข้าถึงเมื่อ กันยายน 2025
3. Samantha Harvey, Orbital (London: Jonathan Cape, 2023), 106.
4. Martin Constable, interview by the author, online document, July 2025
5. Ibid.
6. Ibid.
7. National Aeronautics and Space Administration, Earthrise: A Conversation with Apollo 8 Astronaut Bill Anders, December 29, 2023, video, https://plus.nasa.gov/video/earthrise-a-conversation-with-apollo-8-astronaut-bill-anders. Accessed 6 September 2025.
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนนั้นคือ ภาพแต่ละภาพของคอนสตาเบิลนั้นตั้งอยู่ในสถานการณ์ ที่ซึ่งการรับรู้เรื่องเวลาตามปกติ ถูกทำให้ไร้ความหมาย ภาพที่ไม่ได้มาจากอดีต และไม่ยึดโยงกับมาตรฐานกรอบเวลาที่ตายตัวแบบ 24/7 ลองจินตนาการว่า หนึ่งนาทีที่อยู่ในภาพนั้นไม่ใช่ 60 วินาทีอย่างที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป เวลา ณ ที่นี้ดำเนินไปในแบบอื่น มันอาจจะกำลังเผาไหม้อย่างรวดเร็ว หรือมันอาจนิ่งอยู่กับที่ มิติเวลาที่บิดเบี้ยวเหล่านี้บอกเป็นนัยถึง วิกฤตการมีอยู่ของชีวิต (existential crisis)
ผลงานของคอนสตาเบิลมักชวนให้นึกถึงจิตวิญญาณของการสำรวจ ในวิธีที่คล้ายกันกับจิตรกรจากสกุลศิลปะลุ่มแม่น้ำฮัดสัน (Hudson River School) หรือศิลปะยุคโรแมนติก สัญลักษณ์ต่างๆ ในผลงานของเขา ตั้งแต่ แสง ซากปรักหักพัง ไปจนถึงโครงกระดูก ล้วนมีความหมาย แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องที่จะต้องถูกตีความหรือทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์ ในทางกลับกัน สัญลักษณ์เหล่านั้นกลับเชื้อเชิญให้ครุ่นคิดพิจารณาในระดับอารมณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและคำนึงถึงความหมายของการดำรงอยู่: ของตัวศิลปิน ของตัวเรา และของมวลมนุษยชาติ นิทรรศการที่รวบรวมผลงานของคอนสตาเบิลตลอดทศวรรษที่ผ่านมานี้ จึงอาจมองได้ว่าเป็นการสำรวจความกลัวที่จะลืม การระลึกถึง หรือตั้งคำถามว่าเราจารึกประวัติศาสตร์อย่างไร
ในกรณีที่เกิดหายนะบนดวงจันทร์
“ชายสองคนนี้กำลังสละชีวิตของพวกเขาเพื่อเป้าหมายอันสูงส่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ: การแสวงหาความจริงและความเข้าใจ […] การแสวงหาของมนุษย์จะไม่มีวันถูกล้มเลิก แต่ชายสองคนนี้ คือกลุ่มแรก และพวกเขาจะยังคงเป็นผู้บุกเบิกที่สำคัญสูงสุดในใจของพวกเรา”
บิล ซาไฟร์ ถ [1]
บันทึกข้อความจากปี 1969 ถูกเตรียมไว้ให้ประธานาธิบดีนิกสัน เป็นสุนทรพจน์เผื่อที่จะต้องกล่าว ในกรณีที่ภารกิจของ อะพอลโล 11 ล้มเหลว แม้ว่าสุนทรพจน์นี้จะไม่เคยถูกนำมาใช้ และปัจจุบันเป็นแค่เอกสารทางประวัติศาสตร์ แต่ธีมของการค้นหาความจริงและความเข้าใจนั้นสอดคล้องกับผลงานของคอนสตาเบิลอยู่ ในผลงานชื่อ A Fragment of Interrogation (2025) ศิลปินได้ดัดแปลงรูปแบบของบันทึกข้อความดังกล่าว เพื่อใช้บันทึกบทสนทนาระหว่างชายคนหนึ่งกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถระบุได้ ซึ่งกำลังครุ่นคิดถึงอายุขัยของชีวิต เนื้อหาที่เสียดสีของผลงานชิ้นนี้บอกเล่าเรื่องราวในตัวเอง ขณะเดียวกันก็แฝงนัยถึงความน่าสะพรึงในแบบที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ และความกลัวต่อความเล็กน้อยไร้ความสำคัญของมนุษยชาติต่อจักรวาล (cosmic horror)
ด้วยความที่ปราศจากการระบุที่เฉพาะเจาะจง บทสนทนานี้จึงไร้ซึ่งผู้ประพันธ์ เช่นเดียวกับภาพวาด A Man Who Asked Why (2025) และ In League With His Demons (2024) ภาพทั้งสองนี้ละเว้นการปรากฏตัวของ ‘ใครคนนั้น’ ทว่าสิ่งที่จับต้องได้คือภาพที่แสดงว่าเครื่องมือเหล่านี้เป็นของใครสักคนที่มีฐานะเป็นผู้สร้าง
แนวคิดนี้ยังขยายไปถึงภาพวาดรองเท้าบูทเก่าๆ ที่ชื่อว่า Half Way There is Half Way Gone (2025) รองเท้าอาจเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางและการล่วงเลยไปของเวลา และภาพนี้ทำให้นึกถึงข้อถกเถียงทางศิลปะอันโด่งดังเกี่ยวกับผลงาน A Pair of Shoes (1886) ของฟินเซนต์ ฟัน โคค และ Floyd Burroughs's Boots (1936) ของวอล์คเกอร์ อีแวนส์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในงานเขียน The Origin of the Work of Art ของไฮเดกเกอร์ และต่อมาถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยเดริดา และนักคิดคนอื่นๆ อีกมากมาย [2] ในขณะที่ตัวตนที่ ‘แท้จริง’ ของเจ้าของเราเท้าบูท บริบทที่รอบล้อมผลงาน และ ‘เหตุผล’ ก็ยังไม่ชัดแจ้ง
สกรีนเซฟเวอร์ สตาร์ฟิลด์ ซับเตอร์ฟิวจ์ และเกมดีเซนท์
สกรีนเซฟเวอร์ หรือภาพพักหน้าจอ ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1983 เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันอาการจอไหม้บนจอภาพรุ่นเก่าเวลาไม่ใช้งาน ในปี 1995 วินโดวส์ ได้เปิดตัวสกรีนเซฟเวอร์อันเป็นเอกลักษณ์ชื่อว่า Screensaver Subterfuge แสดงมุมมองบุคคลหนึ่งเดินวนเวียนอยู่ภายในเขาวงกตสามมิติ ที่สร้างจากกำแพงอิฐแดงอย่างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อผู้ใช้เดินไปเจอกับหินสีเทา ภาพจะพลิกกลับหัว ทำให้เกิดความรู้สึกหลงทิศ ราวกับอยู่ในห้วงอันไร้ที่สิ้นสุด
เช่นเดียวกัน ผลงานภาพพิมพ์ดิจิทัลและวิดีโอของคอนสตาเบิลนั้นทำให้นึกถึงภาษาภาพในแบบของสกรีนเซฟเวอร์ ผลงานชุด The God of Details นำเสนอฉากอันเงียบสงบของพื้นที่หลากหลาย ตั้งแต่ ห้องทำงานช่างอันเลอะเทอะ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์ที่ดูปลอดเชื้อ ซึ่งล้วนปราศจากผู้คนโดยสิ้นเชิง ภาพเหล่านี้อาจถูกจำลองขึ้นจากความทรงจำของศิลปิน หรืออาจไม่มีอยู่เลยก็ได้ แต่ทว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็น จานที่ยังไม่ได้เก็บ ถังขยะที่รองด้วยถุงพลาสติก พรมที่ยับย่น บอกใบ้ให้เห็นถึงร่องรอยแผ่วเบาของสิ่งมีชีวิต แสงไฟที่ถูกเรนเดอร์ขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบนั้นยังคงเปิดอยู่ และส่องสว่างไปยังวัตถุบางชิ้น ภาพเหล่านี้เป็นภาพในยามค่ำคืนอันเงียบสงัดหรือไม่? เราจะถือว่ามันเป็น ‘พื้นที่ระหว่างกลาง’ (in-between spaces) ได้หรือไม่—เช่นเดียวกับพื้นที่ของช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ลิฟต์โดยสาร สกรีนเซฟเวอร์ หรือสนามบิน? พื้นที่ที่กำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่าง…
หรือบางที ภาพเหล่านี้แสดงสถานการณ์หลังจากเหตุการณ์สำคัญได้เกิดขึ้น? เช่นเดียวกับซากมอเตอร์ไซค์ในภาพวาด The Mix (2025) ซึ่งบอกเล่าถึงการเดินทางที่ถูกทำให้ชะงัก เป็นไปได้ไหมว่ามีใครบางคนหนีไปจากฉากเหล่านี้ ภายหลังเหตุการณ์หรือหายนะบางอย่าง? หรือนี่คือช่วงเวลาของวันสิ้นโลก? หรือเป็นเพียงแค่เวลาที่หยุดนิ่งกันแน่? ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ความนิ่งสงบในภาพเหล่านี้มอบความรู้สึกสันโดษ แต่ความคมชัดและความละเอียดสูงในแบบภาพคอมพิวเตอร์ กลับบอกเป็นนัยถึงความรู้สึกของการควบคุมและความวิตกกังวลที่มีอยู่ในขณะเดียวกัน
วิดีโอสองชิ้นที่เล่นวนซ้ำ คือ Try Again. Fail Again. Fail Better. (2024) และ ...Not For the Fire in Me Now (2022) นำเสนอภาพมุมมองภายในจากห้องนักบินของยานอวกาศ มุมมองภาพแบบบุคคลที่หนึ่ง ที่สังเกตถึงแผงควบคุมและปุ่มต่างๆ จัดวางผู้ชมให้อยู่ในตำแหน่งของนักบิน เมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ ภาพทิวทัศน์นอกหน้าต่างก็เผยให้เห็นฉากที่ไม่ได้อยู่บนโลกเรา แต่เป็นห้วงอวกาศภายนอก
ด้วยความรู้สึกชวนคลื่นไส้และสับสน วิดีโอเหล่านี้ซึ่งมีความยาวไม่เกินห้านาที ได้ถ่ายทอดช่วงเวลาแห่งการทำลายล้าง และเมื่อเราพบว่าเสียงประกอบที่นำมาใช้ นั้นดัดแปลงมาจากเสียงจริงจากบันทึกกล่องดำของเที่ยวบินประวัติศาสตร์ วิดีโอเหล่านี้ก็ยิ่งสร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนต่อประสาทสัมผัสขึ้นไปอีก ความรู้สึกสับสนนี้รุนแรงเกินกว่าความรู้สึกของการถูกดูดเข้าไปในความว่างเปล่าของสกรีนเซฟเวอร์ Starfield หรือการเล่นเกมจำลองการบินอย่างเกม Descent (1995) เพราะมันชวนให้เวียนศีรษะและน่าวิตกอย่างท่วมท้น
ประวัติศาสตร์อนาคต
“เรากำลังเขียนอนาคตของมนุษยชาติอย่างไรกัน? เราไม่ได้กำลังเขียนอะไรเลย มันต่างหากที่กำลังเขียนเรา เราเป็นดั่งใบไม้ที่ถูกลมพัดพา เราคิดว่าเราคือสายลม แต่เราเป็นแค่ใบไม้ [...] เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่รู้สึกไม่มั่นคงเสียจนต้องเฝ้ามองตัวเองอยู่ตลอดเวลา และหาข้อยืนยันว่าอะไรที่ทำให้เราแตกต่างไม่ใช่หรือ พวกเราสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ หลักแหลม และช่างสงสัย ผู้บุกเบิกอวกาศและเปลี่ยนแปลงอนาคต ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้แต่สัตว์อื่นทำไม่ได้ ก็แค่การก่อไฟขึ้นมาจากความว่างเปล่า”
Samantha Harvey [3]
มาร์ติน คอนสตาเบิล สนใจความพังพินาศและซากปรักหักพัง ความหลงใหลในการทำลายล้างของเขาส่วนหนึ่งมีจุดเริ่มต้นจากบาดแผลทางใจส่วนตัว และมีมุมมองที่ว่ามันเป็นกระบวนการที่ช่วยเปิดเผยให้เห็นถึงโครงสร้างและธาตุแท้ของสิ่งต่างๆ [4]
ตัวอย่างเช่น ที่มาของชื่อผลงาน Rebes Minor (2021) นั้นหยิบยืมวิธีที่นักดาราศาสตร์ใช้ตั้งชื่อกลุ่มดาว ซากปรักหักพังในภาพนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากปราสาทยุคกลางในเรื่อง Game of Thrones บอกเล่าเรื่องราวเชิงเสียดสีเกี่ยวกับการแข่งขันในวงการวิชาการที่ดุเดือดในอีกโลกหนึ่ง ที่ซึ่งเหล่าคณาจารย์ถูกฆ่าและโรงเรียนถูกเผาทำลาย [5] แต่ท่ามกลางความมืดมิดนี้ ยังมีลำแสงแห่งความหวังเล็กๆ ซึ่งเป็นแสงไฟที่ริบหรี่ดวงหนึ่ง ถูกจัดวางไว้ที่ใจกลางภาพ
ภาพวาดหลายชิ้นที่ถูกคัดสรรมานี้นำเสนอฉากพิธีกรรมของการจ้องมองแสงไฟ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของแสง ภาพ Lustrum (2024) นำเสนอร่างร่างหนึ่งที่กำลังจ้องมองเข้าไปในกองไฟ อันเป็นเทคโนโลยีแรกสุดของมวลมนุษยชาติ การเรียนรู้ที่ทำให้มนุษย์ควบคุมไฟได้สำเร็จ ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับการส่งมนุษย์ไปสู่อวกาศ การเพ่งมองไปที่แหล่งกำเนิดแสง ไม่ว่าจะเป็นแท่งเทียนหรือดวงจันทร์ [6] ล้วนเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์เช่นกัน กลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อจ้องมองบางสิ่งร่วมกัน ดังที่ปรากฏในภาพ Raze (2024) และ The Invention of Grief (2024) (ที่แสดงภาพกลุ่มวานรหนึ่งนั่งล้อมกองไฟ) ยิ่งเพิ่มความน่าฉงน ในบริบทนี้ ภาพวาดเหล่านี้จึงกลายเป็นฉากของพิธีกรรมแบบร่วมสมัย
ท้ายที่สุด What He Left Behind (2025) คือ ผลงานภาพมุมมองบุคคลที่หนึ่งของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ภาพนี้ทำให้นึกถึงภาพถ่ายประวัติศาสตร์ Earthrise (1968) ที่ถ่ายโดยนักบินอวกาศ บิล แอนเดอร์ส จากภารกิจ อะพอลโล 8 แอนเดอร์สได้กล่าวประโยคที่โด่งดังไว้ว่า “เราเดินทางไปดวงจันทร์เพื่อสำรวจดวงจันทร์ แต่สิ่งที่เราค้นพบกลับเป็นโลก” เช่นเดียวกันภาพวาดนี้เน้นย้ำถึงช่วงเวลาอันลึกซึ้งนี้ แต่กลับตอกย้ำความตระหนักรู้ว่าการดำรงอยู่ของเราเล็กน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับจักรวาลอันไพศาล
โคด้า
ผลงานคัดสรรในนิทรรศการ What Cannot Be Forgotten, Must Be Celebrated มุ่งลึกลงไปในสภาวะอารมณ์อันมืดมิดและภูมิทัศน์อันหม่นหมอง เพื่อขุดค้นการครุ่นคิดพิจารณาอย่างลึกซึ้งต่อการดำรงอยู่ และในขณะเดียวกันก็เชื้อเชิญให้เราได้เผชิญหน้ากับคำถามเดียวกันนั้นด้วยตัวของเราเอง
การครุ่นคิดพิจารณานี้เดินทางมาถึงบทสรุปในผลงานชิ้นสุดท้าย คือ Qua Auq (2015) ซึ่งคอนสตาเบิลได้ผลิตภาพกะโหลกศีรษะของ แลม ควา (1801–1860) ขึ้นมาใหม่ด้วยเทคนิคดิจิทัล แลม ควา เป็นจิตรกรชาวจีนผู้เป็นที่รู้จักจากการเป็นคนแรกๆ ที่นำสไตล์ตะวันตกมาใช้ในการวาดภาพประกอบทางการแพทย์ ด้วยวิธีที่คอนสตาเบิลสมมุติถึงการนำกะโหลกศีรษะไปจัดวางในตู้จัดแสดง ที่อ้างอิงถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสิงคโปร์นั้น คอนสตาเบิลได้พิเคราะห์ถึงการมีตัวตนของศิลปิน และความปรารถนาของมนุษย์ที่จะเป็นที่จดจำ และความต้องการที่จะทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง

Earthrise ถ่ายโดย วิลเลียม แอนเดอร์ส เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 1968. ภาพจาก: NASA [7].
1. William Safire, "In Event of Moon Disaster", บันทึกช่วยจำถึง เอช. อาร์. ฮาลเดมัน, 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1969, Richard Nixon Presidential Library and Museum, National Archives and Records Administration. ที่มา: https://www.archives.gov/files/presidential-libraries/events/centennials/nixon/images/exhibit/rn100-6-1-2.pdf, เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2568.
2. มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ ได้ใช้ภาพ Pair of Shoes ของ วินเซนต์ ฟัน โคค เพื่ออธิบายประเด็นของเขาที่ว่าศิลปะเผยให้เห็น “สัจจะแห่งการดำรงอยู่” (truth of being) เพราะรองเท้าคู่นั้นเป็นของหญิงชาวนา ในเชิงปรากฏการณ์วิทยาแล้ว ภาพนั้นเพียงลำพังก็สามารถเปิดเผยโลกอีกใบหนึ่งซึ่งเป็นของชาวนาคนนั้นได้ ดังนั้น รองเท้าจึงไม่ใช่แค่เพียงวัตถุ แต่เป็น “ความเป็นเครื่องมือของเครื่องมือ” (equipmental being of equipment) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริบทอื่น (พ.ศ. 2479) ในขณะที่ เมเยอร์ ชาปิโร ได้วิจารณ์ไฮเดกเกอร์ว่า รองเท้าคู่นั้นไม่ใช่ของชาวนา แต่เป็นของฟัน โคค เอง ดังนั้นจึงควรตีความภาพในเชิงอัตชีวประวัติของศิลปิน (พ.ศ. 2511) ส่วนเดริดาก็ได้วิจารณ์ว่า พวกเขาทั้งสองมองรองเท้าผ่านเลนส์ที่ติดกับดักของการเป็นตัวแทน (representations) และยัดเยียดความหมายให้กับรองเท้าว่ามันต้องเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แทนที่จะมองตัวผลงานศิลปะตามที่มันเป็น ในการถกเถียงนี้ ภาพถ่ายรองเท้าบูทจริงๆ ของอีแวนส์ จากยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ก็มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับภาพของ ฟาน โคค อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากรองเท้าของอีแวนส์นั้นมีเจ้าของอยู่จริง ในขณะที่ของ ฟัน โคค เป็นเพียงภาพแทนในเชิงจิตรกรรม
ที่มา: Brian Goldberg, “Two Boots and Four Portraits,” RISD Museum, 28 มกราคม 2019, https://risdmuseum.org/art-design/projects-publications/articles/two-boots-and-four-portraits. เข้าถึงเมื่อ กันยายน 2025
3. Samantha Harvey, Orbital (London: Jonathan Cape, 2023), 106.
4. Martin Constable, interview by the author, online document, July 2025
5. Ibid.
6. Ibid.
7. National Aeronautics and Space Administration, Earthrise: A Conversation with Apollo 8 Astronaut Bill Anders, December 29, 2023, video, https://plus.nasa.gov/video/earthrise-a-conversation-with-apollo-8-astronaut-bill-anders. Accessed 6 September 2025.
Interview with the curator Pojai Akratanakul for the exhibition ‘What Cannot be Forgotten, Must Be Celebrated’, BUG Gallery, 2025